พรรคประชาชาติ ร่วมกิจกรรมของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่จัดประชุมหัวข้อ “ผนึกกำลัง ขีดเส้นใต้ความล้มเหลว ขีดเส้นตายรัฐบาลสิ้นสภาพ”

พรรคประชาชาติ ร่วมกิจกรรมของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่จัดประชุมหัวข้อ “ผนึกกำลัง ขีดเส้นใต้ความล้มเหลว ขีดเส้นตายรัฐบาลสิ้นสภาพ”

ผู้สื่อข่าวรายงานจากห้องประชุมวันวาน บาย พาโค่ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ว่า พรรคประชาชาติ นำโดย พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ พร้อมด้วย นายสุพจน์ อาวาส โฆษกพรรคประชาชาติ นายมนตรี บุญจรัส รองโฆษกพรรคประชาชาติ และนายพลรักษ์ รักษาพล คณะทำงานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคประชาชาติ เดินทางมาร่วมกิจกรรมของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่จัดประชุมหัวข้อ “ผนึกกำลัง ขีดเส้นใต้ความล้มเหลว ขีดเส้นตายรัฐบาลสิ้นสภาพ” โดยมีแกนนำและตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านเข้าร่วมอย่างคึกคัก อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร, นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล, นายวิรัตน์ วรศสิริน รองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, นายเทวกฤต พรหมมา รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และ นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ฯลฯ ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ออกแถลงการณ์ “ขีดเส้นใต้ความล้มเหลว ขีดเส้นตายรัฐบาลที่สิ้นสภาพ” ซึ่งมีความเห็นร่วมกันว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เหล่านี้ดำเนินต่อไป จะสร้างความเสียหายจนไม่อาจเยียวยาแก้ไขได้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงมีมติร่วมกันขีดเส้นตาย ให้รัฐบาลที่หมดสิ้นสภาพนี้ นับตั้งแต่การเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ 22 พ.ค. 2565 เป็นต้นไป

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า “ วิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง เนื่องจากเรามีผู้นำไม่ดี เมื่อเรามีผู้นำไม่ดี ก็เกิดวิกฤติกับประชาชน สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้นำไม่ดีคือ การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่คิดเลยว่าในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาล ประเทศไทยเราจะมีการคอรัปชั่นสุดซอย จะเห็นได้จากดัชนีคอร์รัปชั่นของโลก ซึ่งมี 180 ประเทศ ตอนเข้ามาใหม่ๆ ปี 2558 ดัชนีคอร์รัปชั่นจะอยู่อันดับที่ 80 กว่าๆ แต่พอมาถึงปี 2564 มาอยู่อันดับที่ 110 ก็ถือว่าเป็นการคอรัปชั่นสุดซอยแล้ว “

การคอร์รัปชั่นสุดซอย นำไปสู่การส่งมรดกความเหลื่อมล้ำตั้งแต่เกิดถึงเชิงตะกอน คือความเหลื่อมล้ำมากที่สุด จากตัวเลขความเหลื่อมล้ำจะเห็นได้จากร่าง พรบ งบประมาณปี 2566 ที่เกิดขึ้นในเรื่อง “สวัสดิการ” เราเชื่อว่าสวัสดิการต้องถ้วนหน้าคือสิทธิเสมอกัน เด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศจะให้เด็กทุกคน แต่ความจริงปีที่แล้วและปีนี้ก็ยังให้ครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เป็นการสงเคราะห์เลือกให้สวัสดิการเด็กเกิดมาก็ไม่ได้รับความยุติธรรม อันนี้คือมะเร็งร้ายที่ตอกย้ำ ครอบงำ อยู่ๆก็มาสร้างความเดือดร้อนและความเหลื่อมล้ำตั้งแต่เกิด

“ในด้านผู้สูงอายุถึงเชิงตะกอนนั้นสวัสดิการถ้วนหน้าจะมีเฉพาะผู้เป็นอดีตข้าราชการหรือผู้เกษียณอายุที่ทวีความเหลื่อมล้ำกับสวัสดิการประชาชนมาก จากตัวเลขงบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2557 ช่วงนั้นเราพบว่าเงินสวัสดิการของข้าราชการที่เกษียณอายุที่มีประมาณ 3 ล้านคน เงินบำเหน็จบำนาญแสนกว่าล้าน แต่วันนี้มีตัวเลขข้าราชการที่เกษียณตำแหน่งต่างๆ ได้รับสวัสดิการ 4 แสนกว่าล้าน แต่ประชาชน 66 ล้านคน ได้รับสวัสดิการแค่ 3 แสนกว่าล้าน นี่คือตัวอย่างของความเหลื่อมล้ำ ถ้าท่านบริหารประเทศในลักษณะเช่นนี้ เป็นความยากที่ประชาชนจะอยู่ดีกินดี” เลขาธิการพรรคประชาชาติ ระบุ

พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า การบริหารประเทศ คือการใช้ทรัพยากร ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นปัจจัยของมนุษย์ แต่รัฐบาลกลับใช้ไปในทางทุจริตและสร้างความเหลื่อมล้ำด้วยระบบสัมปทานผูกขาดให้กลุ่มทุนผูกขาด เห็นได้จากการประมูลโครงการวางระบบท่อส่งน้ำในภาคตะวันออก และโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) น้ำที่จะมาใช้ในการอุปโภคบริโภค ต้นทุนน้ำที่กลุ่มทุนผู้ขาดซื้อจากประชาชนประมาณบาทกว่าๆ ต่อลูกบาศก์เมตร แต่ระบบผูกขาดไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ได้รับสัมปทาน เอามาขายต่อท่อไปให้ประชาชนในราคา 10 กว่าบาทต่อลูกบาศก์เมตร นี่เป็นเรื่องผลประโยชน์การหากินบนความเดือดร้อนของประชาชนทุกขั้นตอนแล้วก็มาแย่งชิงทรัพยากรที่เป็นพลังงานทุกอย่าง ทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ สิ่งต่างๆ มันเป็นทรัพยากรของประชาชน

“ความเป็นผู้นำที่ไม่ดี ซึ่งหมายถึงคณะรัฐมนตรีทั้งหมด ไปสร้างความเดือดร้อน ความทุกข์ระทมให้กับประชาชน ซึ่งผมก็มีข้อมูลที่สำคัญ ผมเชื่อว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ พรรคต่างๆ จะทำให้ประชาชนเห็น แม้ว่ามือในสภาเขาจะมีมาก แต่มันเป็นมือในสภาที่ผ่านกฎหมาย ไม่ใช่มือในสภาที่มาสนับสนุนการทุจริตคอร์รัปชั่น รัฐบาลไม่ควรจะอยู่สร้างภาระให้ประชาชน วันนี้ประชาชนมีวิกฤติ เพราะผู้นำไม่ดี” พ.ต.อ.ทวี กล่าวในที่สุด


///

การเมือง