ตำนานชีวิตจากเด็กชาวบ้านธรรมดาที่ชื่อ นายนิพนธ์ คนขยัน หาเช้ากินค่ำต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางสถานภาพครอบครัวที่ไม่สู้จะดีนัก แต่ก็มีความใฝ่ฝัน ด้วยแต่เด็กได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นนักปกครอง จึงซึมซับความโอบอ้อมอารี รักความเป็นธรรมเสียสละ ชอบช่วยเหลือสังคมเป็นจริตใจมาตลอดจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่
นายนิพนธ์ คนขยัน อายุ64ปี อยู่บ้านเลขที่18 หมู่ที่4 ตำบลศรีชมภู อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อเหมือนเพื่อนๆ ชีวิตวัยเด็ก ย่างเข้า 12 ปี คุณพ่อ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น ถูกกลุ่มคอมมิวนิสต์ยิงเสียชีวิตพร้อมกับพี่ชาย จึงไม่ได้เรียนต่อ(นี่คือเหตุผล) หลังจบจากชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 (สมัยเก่า มี ป.7) ที่โรงเรียนชุมชนบ้านโคกอุดม อำเภอพรเจริญแล้ว ก็ทำนา สลับกับการรับจ้างใช้แรงงานไปเรื่อยๆ พออายุได้14-15 ปี ก็ไปเป็นกรรมกรรับจ้างทำงาน ในโรงงานเหล็ก แบกเหล็ก ในพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อมาเปลียนงานจากบนบกไปลงเรือประมงอวนดำที่อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร สมัยนั้นท่านบอกว่า ได้เงินเดือนแค่ 700 บาท แต่ไปๆมาๆ ทำอยู่ได้พักหนึ่งก็ต้องหวนกลับบ้านมาทำนาเช่นเดิม จนอายุครบเกณฑ์ทหาร ในปี 2523 ก็เข้ารับการคัดเลือกทหารและจับได้ใบแดงก็ต้องไป เป็นทหารอากาศ และติดทหารเกณฑ์ผลัดที่ 2 ที่ค่ายกองบิน 23 จ.อุดรธานี ต่อมาเมื่อได้ปลดจากการเป็นทหารแล้ว ก็ออกมาทำงานรับจ้างเหมือนเดิม เจ็บปวดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ของคนชื่อนิพนธ์ คนขยัน บนเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การดำเนินชีวิตที่ต้องพลิกผันอีกครั้ง เมื่ออยากไปทำงานต่างประเทศเพราะเขาบอกว่าค่าจ้างแรงงานสูงกว่าประเทศไทยและได้ไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์โดยผ่านนายหน้า แต่เมื่อไปถึงสิงคโปร์แล้ว งานทำไม่ได้เป็นไปตามที่คุยกันไว้ ส่วนนายหน้าที่พาเราไปก็หนีหายล่องหนหายตัวไป ก็คือถูกลอยแพไว้พร้อมกับคนอื่นๆที่ถูกหลอกมาพร้อมกันท้ายสุดจบที่ ต้องอดทนทำงานเก็บเศษเหล็กอยู่สิงคโปร์ 2 ปี ก็พอได้เงินเหลือกลับบ้านและ ประจวบกับที่บ้านเกิดของตน ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านว่างลง ไม่มีผู้ใหญ่บ้าน ด้วยนิสัยนายนิพนธ์ คนขยัน เป็นคนไม่ชอบให้ใคร มารังแกใคร เป็นคนตรงไปตรงมาชอบความเป็นธรรมต่อสู้กับความไม่ถูกต้องทุกรูปแบบมีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ชาวบ้านให้ความเชื่อมั่นและศรัทธาจึงพร้อมใจกันยกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ได้พักหนึ่ง กำนันในตำบลศรีชมภู เกษียณ นายนิพนธ์ คนขยัน จึงสมัครลงชิงตำแหน่งกำนันตำบลศรีชมภูและได้รับเลือกให้เป็นกำนัน และทำหน้าที่กำนันต่อมาถึง 14 ปี ในระหว่างที่ทำหน้าที่กำนันนี้เห็นปัญหามากมาย กำนันนิพนธ์ คนขยัน คิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าถ้าหากการศึกษาอยู่ในระดับประถมคงคิดงานใหญ่ที่ช่วยเหลือสังคมคงจะไม่ได้จึงคิดแบ่งเวลาที่จะเข้าศึกษา จึงไปสมัครเข้าศึกษาต่อที่ กศน.ในวัย 30 ปี จนจบมัธยมปลาย และได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฏอุดรธานีจนจบ ทั้งนี้กำนันนิพนธ์ คนขยัน มองว่าการศึกษานั้นมองว่าไม่มีคำว่าสาย เมื่อศึกษาจบสมความตั้งใจแล้ว กำนันนิพนธ์ คนขยัน ยังไม่ละความคิดเดิมถึงเรื่องการพัฒนาท้องถิ่นบัานเกิดให้เจริญและว่าจะทำอย่างไร
จึงตัดสินใจด้วยความมุ่งมั่นว่าต้องเป็นผู้แทนฯเท่านั้น เพราะเชื่อว่าถ้าได้รับเลือกมาเป็นสส.คงเกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่นเพราะสส.มีอำนาจหน้าที่ที่จะนำปัญหาต่างๆในท้องถิ่นไปพูดในสภาผู้แทนราษฏรให้รัฐบาลได้รับทราบและเห็นชอบถึงปัญหาได้ และด้วยความคิดแต่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้พ้นความอยากจนให้ได้ลืมตาอ้าปากและต้องการพัฒนาบ้านเกิดให้เจริญให้ได้ กำนันนิพนธ์ คนขยัน จึงตัดสินใจไปขอสมัคร ส.ส.ครั้งแรก กับค่ายไทยรักไทย แต่ พรรคไทยรักไทยเขาไม่รับ เขาดูว่า “เป็นกำนันบ้านนอก”จะมีใครเลือก
แต่สุดท้ายพรรดก็ยอมรับให้สมัครเป็น ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยในเขต 6 พรรค จ.หนองคาย มี3อำเภอคืออ.พรเจริญ อ.เซกา และ อ.บึงโขงหลง ในขณะนั้นและได้รับเลือกจากพี่น้องประชาชนได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯเขต6จังหวัดหนองคายสมความตั้งใจ และได้เป็น รองประธานกรรมาธิการแรงงานสภาผู้แทนราษฏร จากการที่ตนเองเคยถูกนายหน้าค้าแรงหลอกไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์มาแล้วจึงมีประสบการณ์รู้ถึงปัญหาจึง สามารถแก้ไขปัญหาด้านแรงงานได้ตรงจุดทั้งในประเทศและต่างประเทศจนสำเร็จ นายนิพนธ์ คนขยัน ดำรงค์แหน่ง สส.พรรคไทยรักไทย 2 สมัยติดต่อกัน และต่อมาก็ลงสมัครรับเลือกตั้งสส.อีกครั้งในนามพรรคเพื่อแผ่นดินแต่ก็ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนฯอีกแต่ว่าเส้นทางชีวิตการเมืองของอดีตส.ส.คนชื่อ นิพนธ์ก็มิได้หยุดนิ่งอยู่แค่นั้นเพราะต่อมาเมื่อทางราชการประกาศจัดตั้ง “จังหวัดบึงกาฬ” ขึ้นใหม่มีผลบังบังคับเมื่อวันที่23มีนาคม2545ซึ่งแยกออกจากจังหวัดหนองคาย อดีต ส.ส.นิพนธ์ คนขยันก็ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนคนบึงกาฬเลือกให้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬเป็นคนแรกของจังหวัดหวัดและดำรงค์ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬติดต่อกันเป็นเวลา8 ปี จนครบวาระ ต่อมาก็มีการเลือกตั้งนายกองค์บริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬใหม่ในครั้งที่2 นายนิพนธ์ ก็ได้สมัครลงรับเลือกตั้งอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้รับเลือกจนวันที่20มีนาคม66มีการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฏคืนอำนาจให้ประชาชนคนไทยเลือกตั้งตัวสส.กันใหม่อีกครั้งโดย คณะกรรมการเลือกตั้งได้ประกาศและกำหนดวันเลือกตั้งหลังพระรากฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฏรพศ.2566และกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรในวันอาทิตย์ที่14พฤษภาคม2566 นายนิพนธ์จึงได้ลงสมัครับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยในเขต3จังหวัดบึงกาฬ และได้ความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเขต3จังหวัดบึงกาฬและชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นจากพี่น้องประชาชนได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของจังหวัดบึงกาฬเขตที่3อีกครั้งเมื่อวันที่14พค.2566
อนึ่งในจังหวัดบึงกาฬเกษรตกรในพื้นที่มีการขยายพื้นที่ปลูกยางพาราเป็นอันดับหนึ่งของภาคอิสาน กว่าล้านไร่ และช่วงที่ยางพารามีราคาสูงถึงกก.ละ80-90 บาททำให้เศษฐกิจในจังหวัดบึงกาฬดีมากทำให้มีเงินสพัดชาวสวนยางมีเงินฝากและจับจ่ายใช้สอยมีกำลังซื้อและมีการสร้างงานสร้างอาชีพใหม่สร้างความเจริญให้จังหวัดมหาศาลแต่ดีมาได้ช่วงหนึ่งยางพาราเกิดราคาตกต่ำมากๆเหลือ 4กิโลกรัม100บาทถึง5กิโลกรัมต่อ100บาท ทำให้ชาวสวนยางพารา มีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ซึ่งเป็นช่วงที่นายนิพนธ์ดำรงตำแหน่งนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬอยู่จึงได้คิดหาแนวทางเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตกรชาวสวนยางของจังหวัดและค้นหาผู้รู้หาวิธีการเพื่อที่จะทำอย่างไรเพื่อเพิ่มมูลค่าราค่ายางพาราให้ได้จึงคิดวิธีหาผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำว่าต้องนำยางพารามาแปรรูปเพื่อเพิมมูลค่า ต่อมาถูกเชิญให้เป็นที่ปรึกษาให้กับชุมนุมสหกรณ์ยางพาราบึงกาฬจำกัด จึงได้สนับสนุนส่งเสริมให้มีการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์เป็นการเพิ่มมูลค่าจำหน่ายในประเทศไทยและต่างประเทศ แต่ต้องมาเจอกับปัญหาเกิดโรคโควิดระบาดขึ้นในประเทศไทยจนต้องหยุดผลิต ระว่างเป็นที่ปรึกษาฯอยู่พอดีกับวาระการดำรงค์ตำแหน่งนายกอบจ.นายนิพนธ์ คนขยันหมดวาระลงและในรอบที 2นี้หลังจากสมัครรับเลือกนายกอบจ.อีกครั้ง ก็ไม่ได้รับเลือกจากประชาชน
ขอย้อนกลับไปในช่วงทีนายนิพนธ์ยังดำรงค์ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ อยู่นั้น กลุ่มจังหวัดภาคอิสานตอนบน 1ประกอบด้วย 5จังหวัดได้แก่ .อุดรธานี จ.เลย จ.หนองบัวลำภู จ.หนองคาย จ.บึงกาฬ และจ.อุดรธานีเป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดและเป็นศูนย์ปฎิบัติการจังหวัด ได้นำงบประมาณซึ่งเป็นงบกลุ่มจังหวัด มาก่อสร้างโรงงานแปรรูปยางพารา พร้อมด้วยเครื่องจักรแปรรูปยางพารา ครบวงจร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ยางพาราของจังหวัด ด้วยงบประมาณ ค่าก่อสร้างจำนวน 193 ล้านบาท และเมื่อก่อสร้างโรงงานเสร็จแล้วกลุ่มจังหวัดได้มอบโรงงานดังกล่าวพร้อมเครื่องจักรให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬเป็นผู้ใช้ผู้รับผิดชอบ แต่สุดท้ายรับมาได้ไม่ถึง3เดือนในระว่างเอาเรื่องเข้าให้สภาองค์ฯพิจารนาก็ถูกเรียกคืนหน้าตาเฉยด้วยเหตุว่าขัดต่อระเบียบกฎหมาย และถึงปัจจุบันนี้มีปัญหาอยู่เพราะโรงงานที่กลุ่มจังหวัดเอางบประมาณแผ่นดินไปก่อสร้างโรงงานนั้นได้ก่อสร้างอยู่บนที่ดินของ”ชุมนุมสหกรณ์ยางพาราบึงกาฬจำกัด” ซึ่งนายทะเบียนสหกรณ์จังหวัดบึงกาฬได้สั่งยุบ”ชุมนุมสหกรณ์ยางพาราบึงกาฬจำกัด” และต่อมาได้มีบุคคลบุกรุกนำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้าไปติดตั้งดัดแปลงในโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากธนารักษ์พื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ขณะนี้มีการแจ้งความดำเนินคดีกันเรื่องคดีอยู่ในขั้นตอนการพิจารนาของสำนักงานอัยการจังหวัดบึงกาฬ โดยมีบุคคลที่มีอำนาจบางกลุ่มในจังหวัดโยนบาปใส่ร้ายป้ายสี อดีตนายก อบจ.บึงกาฬจนทำให้พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดบึงกาฬที่ทราบข่าวเรื่องนี้เข้าใจผิดขาดความเชื่อถือแต่หลังจากมีการจับกุมผู้บุกรุกโรงงานของทางราชการโดยไม่ได้รับอนุญาติจนเป็นข่าวทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวโซเชียวทำให้พี่น้องประชาชนชาวบึงกาฬทราบและมีความเข้าใจ “เพราะความมันโอละพ่อ” ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้เมื่อนายนิพนธ์ คนขยัน ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยเขตที 3 จังหวัดบึงกาฬ และได้รับการไว้วางใจจากพี่น้องชาวจังหวัดฯเลือกตั้งเป็นสส.จนเอาชนะพรรคก้าวไกล ด้วย คะแนนเสียง30277 แบบขาดลอย
ภาพ/ข่าวจาก บก.น้ำ ผอ.ศูนย์ข่าวนสพ.แผ่นดินไทยโพสต์ประจำจังหวัดอุดรธานี